วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2553

โครงการอาหารฮาล้าล


โครงการอาหารฮาลาล

โครงการอาหารฮาลาล
จากการที่รัฐบาลมีนโยบายให้ประเทศไทยเป็นครัวของโลกและให้ความสำคัญกับความปลอดภัยด้านอาหาร กรมปศุสัตว์ในฐานะหน่วยงานที่ทำหน้าที่ดูแล กำกับและควบคุมการผลิตสินค้าปศุสัตว์ทั้งวงจรให้เป็นไปตามมาตรฐานของประเทศและคู่ค้า จึงได้เร่งพัฒนามาตรฐานการตรวจสอบ การรับรองและการควบคุมภาพวงจรการผลิตสินค้าปศุสัตว์ตลาดอาหารฮาลาลเป็นหนึ่งในตลาดอาหารขนาดใหญ่ของโลกที่มีมูลค่ารวมถึง 80,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการผลิตสินค้าอาหารฮาลาลกลับมีส่วนแบ่งเพียง 200 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 8,000 ล้านบาท จากมูลค่าการส่งออกอาหารของประเทศไทยจำนวน 500,000 ล้านบาท หรือ 1,200 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 0.2 และหากเปรียบเทียบการส่งออกอาหารไปยังประเทศมุสลิมกับการส่งออกอาหารทั้งหมดของไทยจะคิดเป็นร้อยละ 1.6 เท่านั้น ในขณะที่ส่วนแบ่งในตลาดโลกสำหรับการส่งออกอาหารทุกชนิดของประเทศไทยอยู่ที่ร้อยละ 2.28 ซึ่งเป็นอันดับ 5 ของโลก รองจากสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา แคนาดา และจีน

จะเห็นได้ว่าปริมาณการส่งออกของไทยยังมีปริมาณไม่มากนัก ดังนั้น การดำเนินการเพื่อสร้างความมั่นใจในอาหารฮาลาลของไทย โดยให้เกิดความมั่นใจทั้งในหลักความถูกต้องตามบทบัญญัติของศาสนาอิสลามและหลักการทางวิทนาศาสตร์จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะทำให้อาหารฮาลาลของไทยได้รับความเชื่อถือและยอมรับในตลาดโลกมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีบริษัทที่ได้รับอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายรับรองฮาลาลมากกว่า 1,000 ราย และมีผลิตภัณฑ์อาหารฮาลาลมากกว่า 10,000 ผลิตภัณฑ์ ครอบคลุมอาหารเกือบทุกประเภท แสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยมีศักยภาพเพียงพอที่จะผลิตอาหารฮาลาลป้อนตลาดโลกได้สำหรับสินค้าปศุสัตว์ ปัจจุบันโรงฆ่าสัตว์ปีกที่ผลิตเพื่อการบริโภคภายในประเทศที่ผ่านการขึ้นทะเบียนจากกรมปศุสัตว์จำนวน 922 โรงงาน โรงฆ่าวัวจำนวน 605 โรงงาน ซึ่งโรงฆ่าสัตว์เหล่านี้ได้รับรองมาตรฐานอาหารฮาลาลเพียง 9 โรงงาน ในขณะที่โรงฆ่าสัตว์ปีกเพื่อการส่งออกของกรมปศุสัตว์จำนวน 25 โรงงาน ได้รับการรับรองฮาลาล จำนวน 17 โรงงาน จะเห็นได้ว่าโรงฆ่าสัตว์ที่ได้รับการรับรองฮาลาลมีจำนวนไม่มากนักเมื่อเทียบกับชาวมุสลิมในประเทศ ซึ่งมีจำนวนร้อยละ ของประชากรทั้งประเทศ และประชากรมุสลิมทั่วโลกมีมากกว่า 1,800 ล้านคนจาก 186 ประเทศ ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 25 - 30 ของประชากรโลก กรมปศุสัตว์จึงได้กำหนดนโยบายและแนวทางการดำเนินการดังนี้


1. โรงฆ่าสัตว์ และโรงงานแปรรูปเนื้อสัตว์เพื่อการส่งออก

ให้สัตวแพทย์ประจำโรงงานของกรมปศุสัตว์ทำงานร่วมกับที่ปรึกษาฮาลาล ผู้ตรวจการฮาลาล ผู้ควบคุมการเชือดสัตว์ และพนักงานเชือดสัตว์ ในการตรวจสอบและรับรองการผลิตเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์ให้เป็นไปตามมาตรฐานด้านสุขอนามัยและหลักการฮาลาลเพื่อใช้ประกอบการออกเอกสาร Health Certificate และใบรับรองการเชือดสัตว์ และใบรับรอง Halal ของผลิตภัณฑ์

2. โรงฆ่าสัตว์ภายในประเทศ

1) ให้มีโรงฆ่าสัตว์ที่ได้มาตรฐานในแต่ละชนิดสัตว์ อย่างน้อยจังหวัดละ 1 แห่ง โดยโรงฆ่าสัตว์ทุกแห่งต้องมีใบอนุญาตตั้งโรงฆ่าสัตว์ โรงพักสัตว์ และการฆ่าสัตว์ ภายในปี 2549

2) ให้ปศุสัตว์จังหวัดเสนอผู้ว่าราชการจังหวัดหรือปลัดกรุงเทพมหานครแล้วแต่กรณี แต่งตั้งคณะกรรมการเพิ่มเติมเพื่อควบคุมการก่อสร้างโรงฆ่าสัตว์และโรงพักสัตว์ที่ขอรับรองมาตรฐานอาหารฮาลาลโดยประกอบด้วยเจ้าหน้าที่จากกรมโยธาธิการ กรมปศุสัตว์ กรมอนามัย กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม ในเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบ ร่วมด้วยผู้แทนคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดในกรณีที่มีคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด แต่ถ้าไม่มีคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดให้แต่งตั้งผู้แทนฝ่ายกิจการฮาลาล คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยเป็นกรรมการอีกคณะหนึ่ง ให้เป็นไปตามเงื่อนไขตามกฎกระทรวงฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2539) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมการฆ่าสัตว์และจำหน่ายเนื้อสัตว์ พ.ศ. 2535 และร่วมกันตรวจสอบกระบวนการผลิตในโรงฆ่าสัตว์ให้เป็นไปตามมาตรฐานด้านสุขอนามัยและหลักการฮาลาล


การดำเนินการร่วมกันระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยในการรับรองอาหารฮาลาลให้แก่สินค้าเกษตรและอาหารนี้ จะทำให้ผู้บริโภคจากประเทศผู้นำเข้าที่นับถือศาสนาอิสลามเกิดความเชื่อมั่นในระบบการผลิตอาหารฮาลาลของประเทศไทยว่าเป็นไปตามมาตรฐานด้านสุขอนามัยและเป็นไปตามหลักการฮาลาลของประเทศนั้นๆ ซึ่งจะทำให้สามารถรักษาตลาดเดิมและเพิ่มตลาดใหม่ โดำยที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มส่วนแบ่งการส่งออกสินค้าอาหารฮาลาลของไทยให้เพิ่มเป็น 240-260 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปีในอีก 2-3 ปีข้างหน้า

นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างความมั่นใจในการบริโภคอาหารฮาลาลแก่ผู้บริโภคชาวมุสลิมในประเทศซึ่งมีจำนวนถึงร้อยละ 8-10 ของประชากรทั้งประเทศอีกด้วย อีกทั้งเป็นการเสริมสร้างความมั่นคงให้แก่ผู้ประกอบการอาหารฮาลาล และจะทำให้พี่น้องชาวมุสลิมที่ผลิตอาหารฮาลาลมีรายได้เพิ่มขึ้น และส่งผลถึงการเพิ่มมูลค่าการค้าสินค้าอาหารฮาลาลของไทยในภาพรวมอีกด้วย

ผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมโครงการ หรือผู้บริโภคที่ต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ สำนักพัฒนาระบบและรับรองมาตรฐานสินค้าปศุสัตว์ โทรศัพท์ 0-2653-4444 ต่อ 3142 หรือ สถาบันมาตรฐานอาหารฮาลาล โทรศัพท์ 0-2949-4215

วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553

มุสลิมขาย มาม่าได้หรือไม่

ตามหลักการศาสนนาอิสลามเกี่ยวกับการบริโภคสิ่งฮาลาลและฮะรอม
เท่าที่ทราบคือนอกจากห้ามกิน ยังห้ามขาย ให้ แจก บริโภค และซื้อด้วยนะคะ
ฉะนั้นการที่คุณสงสัยและเข้ามาถาม ขอชมว่าเป็นเรื่องที่ดีมากค่ะ
แต่อยากบอกว่าขายไม่ได้นะคะ เป็นเรื่องที่ผิดหลักการค่ะ(ถ้ามั่นใจว่าสินค้านั้นไม่มีฮะลาลจริง)
ขอแนะว่าควรเลิกขายส่วนจะหาสิ่งใดมาทดแทนนั้น แม่ค้าอาจทราบความต้องการของตลาดมากกว่า
ถ้าหากยังหาทางไม่ได้ ให้ลองขอดุอาอฺให้อัลลอฮฺช่วยชี้ทางออกซิคะ
เพราะเชื่อมั่นว่าการที่เข้ามาถามคุณก้าวมาถูฏครึ่งทางแล้วค่ะ
อัลลอฮฺจะทรงพอใจในการพยายามแสวงหาทางออกของคุณแน่ค่ะ
และอัลลอฮฺจะทรงช่วยเหลือบ่าวผู้ศรัทธาอย่างแน่นอน ขอให้คุณมั่นใจในการช่วยเหลือของพระองค์นะค่ะ


มุสลิมขายมาม่าได้ไหม? ตอบได้เลยว่าขายไม่ได้ เพราะมีไม่ฮาลาลซึ่งดิฉันจะนำเสนอข้อมูลด้านล่างว่าทำไมถึงไม่ฮาลาล
ออ..ไม่ใช่แค่มาม่าเท่านั้นที่ขายไม่ได้ คือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฮะรอม มุสลิมไม่สามารถขายได้ค่ะ ทุกอย่างที่เราทำนั้นจะต้องถูกสอบสวนในโลกหน้า ตระหนักสักนิด เอาชนะนัฟซูสักหน่อย อินชาอัลลอฮฺ อัลลอฮฺหั้ยบ่าวผู้อดทนประสบความสำเร็จค่ะ

นี่เป็นคำบอกเล่าจากพี่น้องเรา

มาม่ามีสูตรสำคัญอยู่ที่น้ำซุป และซุปที่ใช้ทำเส้นคือ ซุปกระดูกหมู

อยากให้พี่น้องช่วยกันบอกกล่าวตักเตือนพี่น้องมุสลิมและร้านอาหาร ร้านขายของชำมุสลิม ที่ยังใช้เส้นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ยี่ห้อมาม่าอยู่
เนื่องจากมีเพื่อนที่เคยทำงานอยู่โรงงานผลิตมาม่า บอกว่า กรรมวิธีการทำเส้นมาม่ามีสูตรสำคัญอยู่ที่น้ำซุป และซุปที่ใช้ทำเส้น
คือ ซุปกระดูกหมู ซึ่งมาม่าทุกรสใช้สูตรนี้ เขาจึงเตือนว่ามุสลิมไม่สามารถรับประทานได้ แม้ว่าจะเป็นรสต้มยำกุ้งก็ตาม
แต่ ปัจจุบันทราบมาว่าร้านอาหารมุสลิมบางร้านยังใช้บะหมี่ยี่ห้อนี้อยู่ และรถยอดฮิตคือต้มยำกุ้ง (เส้นสูตรซุปกระดูกหมู) ล่าสุดได้ไปเจอมากับตัว เลยบอกกับทางร้านเขาไป เขาก็ตกใจมาก เขาบอกว่าที่ใช้เพราะหาซื้อง่าย และก็เป็นว่าเห็นรสต้มยำกุ้ง ไม่น่าจะเป็นไร โดยไม่ได้สังเกตว่าไม่มีตราฮาลาล และจากข้อมูลของประธาน ห้องปฏิบัติการกลางและศูนย์กลางข้อมูลวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาอาหารฮาลาล คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งท่านมีความรู้จักกับหนึ่งในผู้บริหารของบริษัท สหพัฒนพิบูลย์ จำกัด ได้เล่าให้กับผู้เข้าร่วมการสัมมนาอาหารฮาลาลว่า ทางผู้บริหารของบริษัทดังกล่าวยอมรับว่าผลิตภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ภายใต้ยี่ห้อ "มาม่า" ทุกรสไม่ได้ถูกหลักการของอาหารฮาลาล ตามบัญญัติของศาสนาอิสลาม และทางบริษัทเองจะไม่ทำเรื่องขอ แต่บริษัทจะผลิตอีกยี่ห้อหนึ่งคือ "ซือดะ" ซึ่งจะทำการผลิตในโรงงานที่แยกออกไปต่างหาก และผลิตให้ถูกต้องตามกระบวนการอาหารฮาลาล เพื่อตอบสนองลูกค้าชาวมุสลิม
นอกจาก นี้ยังมีบะหมี่อีกหลายยี่ห้อที่ไม่มีตราฮาลาล เช่น ไวไว ยำยำ นิชิน นูเดิ้ลดี และอื่นๆ ซึ่งบริษัทเหล่านี้เขาไม่ผ่านการตรวจสอบฮาลาล หรืออาจไม่ได้ไปขอรับรอง จากคณะกรรมการอิสลามแห่งประเทศไทยเลยก็เป็นได้ เพราะทราบดีว่าไม่ผ่านเป็นแน่
ด้วยเหตุนี้จึงอยากให้พี่ น้องที่พบเห็นร้านอาหารมุสลิมประเภทนี้ ช่วยกันตักเตือนเขาหน่อย เพราะบางร้านเขาไม่ทราบจริงๆ
ยังมีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอีกหลายยี่ห้อที่มีตราฮาลาลนะครับ เช่น เอฟเอฟ ฮายี โซวโซว จายา เป็นต้น
จริงอยู่ที่ว่า ผู้รับรองตราฮาลาล หรือผู้เป็นเจ้าของร้านอาหารที่ติดตราฮาลาลเป็นผู้รับผิดชอบบาปที่เกิดจาก ข้อผิดพลาดของการให้ตราฮาลาลนั้น (ผู้บริโภคที่ไม่ทราบไม่ต้องรับผิดชอบบาปนั้น) แต่ถ้าท่านเห็นมุสลิมด้วยกันกระทำผิดโดยที่ท่านทราบว่าผิดแต่ไม่ตักเตือน ท่านก็จะมีความผิดเช่นกัน และก่อนจะทำ ก่อนจะกินอะไรเป็นหน้าที่ของท่านอยู่แล้วที่ต้องตรวจสอบว่ามันถูกหลักศาสนา หรือไม่ ไม่ใช่เจตนาผลักบาปให้ผู้รับผิดชอบรับบาปไปโดยไม่ใส่ใจตรวจสอบอะไรเลย

ปล.. นี่เป็นเนื้อหาที่ได้จากฟอร์เวดเมล หากมีข้อผิดพลาดช่วยแก้ด้วยค่ะ
วัลลอฮูอะลัม

KFC ฮาล้าลหรือไม่ พี่น้องครับ !

เคเอฟซี หรือ เคนทักกีฟรายชิคเกน (อังกฤษ: KFC หรือ Kentucky Fried Chicken) เป็นธุรกิจอาหารฟาสต์ฟู้ดในเครือยัม! แบรนด์ส อิงส์ มีต้นกำเนิดมาจากมลรัฐเคนทักกี สหรัฐอเมริกา โดยอาหารหลักคือไก่ทอด
ร้านแรกของเคเอฟซีเปิดเมื่อปี พ.ศ. 2482 โดยผู้พันฮาร์แลนด์ ดี แซนเดอร์ส ที่ปั๊มน้ำมันในเมืองคอร์บิน มลรัฐเคนทักกี และเปิดร้านแฟรนไชส์สาขาแรกเมื่อ พ.ศ. 2495 ในภายหลังเมื่อกิจการได้รับความนิยม ผู้พันแซนเดอร์สจึงขายกิจการให้กับกลุ่มนักลงทุนอื่นในปี พ.ศ. 2505 ด้วยมูลค่า 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ในภายหลังแบรนด์เคเอฟซีถูกซื้อกิจการโดยกลุ่มบริษัท PepsiCo ซึ่งได้แยกธุรกิจเกี่ยวกับอาหารออกมาเป็นบริษัท TRICON ก่อนจะเปลี่ยนชื่อมาเป็น ยัม! แบรนด์ส อิงค์ ในปัจจุบัน

ชื่อ
เคเอฟซีได้เปลี่ยนจากชื่อเต็ม "เคนทักกี้ฟรายชิคเก้น" มาเป็นชื่อย่อ "เคเอฟซี" เมื่อปี พ.ศ. 2534 โดยให้เหตุผลว่าต้องการลดความสำคัญของคำว่า "ชิคเก้น" หรือ "ไก่" ลง เนื่องจากมีผู้ประท้วงเกี่ยวกับการใช้ไก่ดัดแปลงพันธุกรรมของ KFC เหตุผลอีกข้อหนึ่งคือต้องการทิ้งคำว่า "ฟราย" ซึ่งสวนกับกระแสสุขภาพในการลดการบริโภคของทอด อย่างไรก็ตาม ปี พ.ศ. 2548 เคเอฟซีเปิดร้านอาหารใหม่ในมลรัฐเคนทักกี้บ้านเกิด ได้ใช้ชื่อว่า "เคนทักกี้ฟรายชิคเก้น" เช่นเดิม และมีแผนจะใช้ชื่อเดียวกันนี้ในอนาคต

เคเอฟซีในประเทศไทย
เคเอฟซีเริ่มเข้ามาในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2527 โดยกลุ่มเซ็นทรัล โดยมีสาขาแรกอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลลาดพร้าว ต่อมาได้มีการเปลี่ยนเจ้าของกิจการบริษัทแม่มาเป็นบริษัท PepsiCo ซึ่งได้ดึงเครือเจริญโภคภัณฑ์มาร่วมดำเนินกิจการในประเทศไทยด้วย เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงโครงการการบริหารโดยมีเจ้าของหลักเป็นบริษัทยัม! แบรนด์ส อิงค์ ในประเทศไทยจึงเปลี่ยนชื่อมาเป็นบริษัทยัม! ประเทศไทย

ปัจจุบันเคเอฟซีมีสาขา 306 แห่ง ครอบคลุม 56 จังหวัดทั่วประเทศ และอ้างว่ามีส่วนแบ่งตลาดถึง 49% ของธุรกิจฟาสต์ฟู้ดทั้งหมดในประเทศ [1]

อาหารที่ฮาล้าลคืออะไร ?


อาหารฮาลาลคืออะไร?

มุสลิมมีความศรัทธาว่า "ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ นบีมูฮัมมัดเป็นผู้สื่อ (รอซูล) ของอัลลอฮฺ" และมุสลิมมีความเชื่ออย่างมั่นใจว่า อัลลอฮฺ คือผู้สร้างมนุษย์และสรรพสิ่งในจักรวาล ดังนั้น คำบัญชาของอัลลอฮฺ (อัล-กุรอาน) คำสอนและแบบอย่างขอบนบีมูฮัมมัด (ซุนนะห์) จึงเป็นเรื่องที่มุสลิมจะต้องปฏิบัติตามด้วยความจริงใจและจริงจัง กล่าวคือ ปฏิบัติในสิ่งที่อนุมัติ (ฮาลาล) และไม่ปฏิบัติในสิ่งที่เป็นข้อห้าม (ฮารอม) ด้วยความเต็มใจและยินดี

ฮาลาล-ฮารอมในอิสลามจึงมิได้หมายความเพียงการบริโภคอาหารเท่านั้น แต่ครอบคลุมถึงวิถีการดำเนินชีวิตในทุกด้าน เพราะอิสลามคือระบอบแห่งการดำเนินชีวิตของมนุษย์ อาหารฮาลาล (Halal Food) จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมุสลิมในการบริโภค ส่วนผู้ที่มิใช่มุสลิม หากบริโภคอาหารฮาลาลก็จะได้ประโยชน์ต่อสุขภาพเช่นเดียวกันเพราะอาหารฮาลาลจะต้องมีกระบวนการผลิตที่ถูกต้องตามข้อบัญญัติแห่งศาสนาอิสลาม ปราศจากสิ่งต้องห้าม (ฮารอม) และมีคุณค่าทางอาหาร (ตอยยิบ)

อัลลอฮฺ (ซ.บ) ได้มีบัญชาไว้ในบทที่ 2 วรรคที่ 168 แห่งคัมภีร์อัล-กุรอาน ความว่า "โอ้มนุษย์ จงบริโภคสิ่งที่อนุมัติ (ฮาลาล) ที่ดี (ตอยยิบ) จากสิ่งที่อยู่ในแผ่นดิน และจงอย่าตามบรรดาก้าวเดินของมาร (ซัยตอน) แท้จริงมันคือศัตรูที่ชัดแจ้งของพวกเจ้า"

และอัลลอฮฺ (ซ.บ) ได้กำชับผู้ศรัทธาไว้ในบทที่ 2 วรรคที่ 172 ความว่า "โอ้บรรดาผู้ศรัทธา จงบริโภคสิ่งที่เราได้ให้เป็นปัจจัยยังชีพของพวกเจ้าจากสิ่งที่ดีทั้งหลาย และจงขอบคุณอัลลอฮฺเถิด เฉพาะพระองค์เท่านั้นที่พวกเจ้าจักเป็นผู้เคารพสักการะ" อาหารฮาลาลจึงมีความสำคัญต่อมนุษย์และเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมุสลิมทั่วโลก

ความหมายของคำ (ภาษาอาหรับ) "ฮาลาล ฮารอม ตอยยิบ มัสบุฮฺ
ฮาลาล (Halal) แปลว่า อนุมัติ, อนุญาต
ฮารอม (Haram) แปลว่า ห้าม ตรงข้ามกับคำว่า ฮาลาล
ตอยยิบ (Toyyib) แปลว่า ดี มีคุณค่า ปราศจากอันตราย
มัสบุฮฺ (Musbuh) แปลว่า เคลือบแคลงสงสัยว่าฮาลาลหรือฮารอม

นบีมูฮัมมัด (ซ.ล.) ได้สอนว่า "ฮาลาล คือ สิ่งที่อัลลอฮฺทรงอนุมัติให้เป็นสิ่งที่ถูกต้องในคัมภีร์ของพระองค์ และฮารอม คือสิ่งที่พระองค์ได้ทรงห้ามไว้ และที่เกี่ยวกับที่พระองค์ทรงนิ่งเงียบนั้น พระองค์ได้ทรงอนุมัติให้เป็นความโปรดปรานแก่ท่าน"


"สิ่งฮาลาลย่อมชัดแจ้งและสิ่งฮารอมก็ชัดแจ้ง แต่ระหว่างทั้งสองดังกล่าวมีสิ่งที่ไม่ชัดเจนอยู่ ซึ่งคนส่วนมากไม่รู้"


บรรดานักวิชาการอิสลามได้ให้คำนิยามว่า "ฮาลาล คือ สิ่งที่อัลลอฮฺและรอซูล (นบีมูฮัมมัด) อนุมัติ ฮารอม คือ สิ่งที่อัลลอฮฺและรอซูลทรงห้าม มัสบุฮฺ คือ สิ่งที่ยังมีข้อเคลือบแคลงสงสัยและระบุไม่ได้ว่าฮาลาลหรือฮารอม จนกว่าจะวินิจฉัยให้ชัดเจนอย่างใดอย่างหนึ่ง"


"อาหารฮาลาล (Halal Food) หมายถึง อาหารหรือผลิตภัณฑ์อาหารซึ่งอนุมัติตามบัญญัติศาสนาอิสลามให้มุสลิมบริโภคหรือใช้ประโยชน์ได้"

โดยสรุปอาหารตามหลักการอิสลามจำแนกออกเป็น 3 ประเภท คือ

1.อาหารที่อนุมัติ ( Halal Food )

2.อาหารที่ไม่อนุมัติ ( Haram Food )

3.อาหารที่ยังมีข้อเคลือบแคลงน่าสงสัย ( Masbuh Food)

วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ห้ามและเหตุผลของการห้าม





ห้ามรับประทานซากสัตว์และเหตุผลของการห้าม
การห้ามกินเลือด
.
สิ่งแรกของอาหารต้องห้ามที่กุรอานกล่าวถึงเกี่ยวก็คือเนื้อของ “ซากสัตว์” นั่นคือสัตว์และ สัตว์ปีกที่ตายเองโดยไม่ได้ถูกฆ่าหรือถูกล่าโดยมนุษย์ เหตุผลที่ห้ามก็คือ - การกินเนื้อสัตว์ที่ตายเองเป็นสิ่งที่น่าขยะแขยงต่อความรู้สึกของคนทั่วไป - อัลเลาะห์มิทรงต้องการให้มนุษย์กินสิ่งที่เขามิดได้ตั้งใจหรือคิดที่จะกินดังในกรณีสัตว์ที่ตายเอง - ถ้าหากสัตว์ตายเอง มันก็อาจเป็นไปได้ว่ามันตายเพราะเหตุปัจจุบันทันด่วนหรือตายเพราะโรคระบาด ดังนั้นการกินเนื้อของมันจึงอาจเป็นอันตรายได้ - เป็นความเมตตาอย่างหนึ่งของอัลเลาะห์ที่จัดหาแหล่งอาหารไว้ให้แก่สัตว์และนกบาง ประเภทที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มคล้ายกับมนุษย์ ความจริงอันนี้จะเห็นได้จากการที่ซากสัตว์ต่าง ๆ ที่ตายอยู่กลางแจ้งจะถูกสัตว์และนกหลายชนิดเข้ามาจิกกิน

ต่อมาคือ

(สุรา เป็นสิ่งฮารอม)

3. สิ่งที่ฮาลาลนั้นเป็นที่เพียงพอสำหรับความจำเป็น แต่สิ่งที่ฮารอมนั้นเป็นที่เกินความต้องการ อิสลามจะห้ามแห่งเพียงสิ่งที่ไม่จำเป็น แต่ในขณะเดียวกันอิสลามได้จัดเตรียมทางเอกที่ดีกว่าและสะดวก ง่ายดายกว่าให้แก่มนุษย์ เพราะอัลลอฮฺมิได้ทรงปรารถนาที่จะสร้างความยุ่งยากลำบากให้แก่การดำรงชีวิตของมนุษย์ แต่พระองค์ทรงประสงค์ความง่าย ความดี ทางนำ และความเมตตาสำหรับมนุษย์ อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ได้ทรงกล่าวไว้ว่า

“อัลลอฮฺทรงปรารถนาที่จะให้กระจ่างแก่สูเจ้าและชี้แจงสูเจ้าซึ่งทางทั้งหลายของบรรดาก่อนหน้าสูเจ้า และ ทรงหันยังสูเจ้าโดยปราณี และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ ... อัลลอฮฺทรงปรารถนาที่จะผ่อนปรนสูเจ้า เพราะมนุษย์ถูกบังเกิดมาอ่อนแอ” (กุรอาน 4:26-28)

4. อะไรก็ตามที่นำไปสู่ฮารอม สิ่งนั้นก็ฮารอมด้วยตัวของมันเอง อิสลามถือว่า สิ่งใดเป็นที่ต้องห้าม (ฮารอม) แล้ว อะไรก็ตามที่จะนำไปสู่สิ่งนั้น ก็เป็นที่ต้องห้ามด้วยเช่นกัน ทั้งนี้เพราะอิสลามต้องการปิดหนทางทั้งหมดที่จะนำไปสู่สิ่งฮารอม เช่น การดื่มสิ่งมึนเมา ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ.ล.) ไม่เพียงแต่ประณามผู้ดื่มเท่านั้น แต่ยังได้ประณามผู้ผลิต ผู้ให้บริการและผู้เกี่ยวข้องด้วย หรือในกรณี ห้ามเรื่องดอกเบี้ย ท่านศาสดาไม่เพียงแต่ประณามผู้รับเท่านั้น แต่ยังได้ประณามผู้จ่าย ผู้เขียนสัญญา และผู้ เป็นพยานด้วย ดังนั้น อะไรก็ตามที่มีส่วนช่วยในการทำสิ่งฮารอม สิ่งนั้นก็ฮารอมด้วย และใครก็ตามที่ช่วยผู้อื่นในเรื่อง นี้ก็จะต้องมีส่วนรับบาปด้วย

5. ไม่อนุญาตให้เอาสิ่งฮารอมมาเป็นของฮาลาล การเรียกสิ่งที่ฮารอมว่าเป็นสิ่งฮาลาล โดยการเปลี่ยนแปลงรูปแบบในขณะที่เนื้อแท้ดั้งเดิมของมันยังคงอยู่นั้น เป็นวิธีการหลอกลวงที่สกปรกทั้งนี้เพราะการเปลี่ยนแปลงชื่อหรือรูปแบบนั้นไม่มีผลประการใด ตราบที่เนื้อแท้ ของมันยังไม่ เปลี่ยนแปลง “คนกลุ่มหนึ่งจะทำให้การดื่มสิ่งมึนเมาของประชาชนเป็นที่ฮาลาลโดยการให้ชื่อมันเป็นอย่างอื่น” (รายงาน โดยอะหมัด) และ “เวลาหนึ่งจะมาถึง เมื่อประชาชนกินดอกเบี้ยแล้วเรียกมันว่า “การค้า” (รายงานโดยบุคอรี และมุสลิม)
6. เจตนาดีมิได้ทำให้สิ่งฮารอมเป็นที่ยอมรับได้

อิสลามให้ความสำคัญในเรื่องความมีเกียรติของความรู้สึก เป้าหมายและความตั้งใจที่บริสุทธิ์ กิจวัตร ประจำวันและกิจการทางโลกจะต้องแปรสภาพเป็นการแสดงความเคารพภักดีและเสียสละเพื่ออัลลอฮฺด้วยเจนาที่ดี ดังนั้น ถ้าหากใครบริโภคอาหารโดยมีเจตนาเพื่อยังชีพและเพื่อสร้างความเข้มแข็งแก่ร่างกายเพื่อที่จะสามารถ ปฏิบัติหน้าที่ต่าง ๆ ที่มีต่อพระผู้สร้างของเขาและแก่มนุษย์แล้ว การกินการดื่มของเขาก็ถือว่าเป็นการแสดงความ เคารพภักดีและการเสียสละต่ออัลลอฮฺ ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ.ล.) ได้กล่าวไว้ มีความว่า

“การกระทำทั้งหลายจะถูกตัดสินโดยเจตนา และทุกคนจะได้รับผลตอบแทนตามเจตนาของเขา” (รายงาน โดยบุคอรี) และ “ใครก็ตามที่ปรารถนาในสิ่งที่อนุมัติจากโลกโดยการรักษาตัวเองให้ห่างพ้นจากบาป โดยการ ทำงานเพื่อครอบครัวและเอาใจใส่เพื่อนบ้านของเขา เขาก็จะได้พบกับพระผู้เป็นเจ้าของเขาด้วยใบหน้าที่นวลสว่าง เหมือนจันทร์เต็มดวง” (รายงานโดยเฎาะบะรอนี)

แต่ถ้าหากใครสะสมในสิ่งที่ได้มาด้วยความไม่ถูกต้อง(ฮารอม) แม้ว่าเขามีเจตนาดีในการบริจาคหรือทำดี ก็จะไม่มีผลใดๆในความดี ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ.ล.) ได้กล่าวว่า อัลลอฮฺนั้นดี และไม่ยอมรับสิ่งใดนอกจากความดี และอัลลอฮฺได้ทรงบัญชาบรรดาผู้ศรัทธาเช่นเดียวกับที่ทรงบัญชารอซูลทั้งหลายของพระองค์ว่า

“โอ้บรรดารอซูล จงกินสิ่งที่ดีและทำให้สิ่งที่ถูกต้อง ฉันรู้ในสิ่งที่เจ้าทำ”

นอกจากนี้ ท่านศาสดาฯยังได้กล่าวว่า “ชายคนหนึ่งเดินทางไกล สกปรกและเปรอะเปื้อนด้วยฝุ่น (เพื่อทำฮัจญ์หรืออุมเราะฮ์ หรือ สิ่งอื่นทำนองนี้) ยกมือขึ้นสู่ท้องฟ้า (และกล่าวว่า) “โอ้พระผู้อภิบาล” ขณะที่กินสิ่งฮารอม ดื่มสิ่งที่ฮารอม สวมใส่สิ่งที่ฮารอม และเลี้ยงตัวเองด้วยวิธีการ ฮารอมแล้วอย่างนี้ คำวิงวอนของเขาจะถูกรับได้อย่างไร” (รายงานโดยมุสลิม และติรมิซี จากอบูฮุรอยเราะฮ์)

“ถ้าหากใครสะสมทรัพย์สินด้วยวิธีการฮารอมแล้วทำทานจากสิ่งที่เขาสะสมความดีจะไม่มีสำหรับเขาและภาระแห่งบาปจะยังดำรงอยู่” (รายงานโดยคุซัยบะฮฺอิบนิฮิบมานและฮากิม)

“ถ้าหากใครคนหนึ่งแสวงหาทรัพย์สินโดยวิธีการฮารอมและให้ทาน อัลลอฮฺจะไม่ยอมรับถ้าหากว่าเขาใช้ จ่ายออกไป มันก็จะไม่มีความเจริญและถ้าหากเขาทิ้งมันไว้ (หลังจากที่เขาตาย) มันก็จะเป็นฟืนของเขาในไฟนรก ความจริงแล้ว อัลลอฮฺจะไม่ลบล้างการกระทำที่เลวด้วยการกระทำที่เลวอีกอย่างหนึ่งและพระองค์จะทรงลบล้าง การกระทำที่เลวโดยการทำดี สิ่งที่ไม่สะอาดนั้นไม่สามารถชำระล้างสิ่งที่ไม่สะอาดอีกสิ่งหนึ่งได้” (รายงานโดย อะหมัดและคนอื่นๆจากอิบนุมัสอู๊ด)

7. สิ่งที่ฮารอมเป็นที่ต้องห้ามสำหรับทุกคน ตามกฎหมายอิสลาม (ชะรีอะห์) กฎที่เกี่ยวกับสิ่งฮารอมจะถูกนำไปใช้อย่างสากล สิ่งใดที่อัลลอฮฺอนุมัติ (ฮาลาล) ก็คือสิ่งที่ได้รับอนุมัติสำหรับมนุษยชาติ และสิ่งใดที่อัลลอฮฺทรงห้าม (ฮารอม) ก็เป็นที่ต้องห้ามสำหรับ มนุษย์ทุกคน เพราะอัลลอฮฺเป็นพระเจ้าของมนุษย์ทุกคน ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ.ล.) ได้ยืนยันถึงการใช้กฎต่างๆ นี้อย่างหนักแน่นด้วยการประกาศความว่า “ฉันขอสาบานด้วยนามของอัลลอฮฺ ถ้าหากฟาติมะฮฺลูกสาวของมุฮัมมัดลักขโมย ฉันจะตัดมือเขาเอง” (รายงานโดยบุคอรี)

8. การห้ามสิ่งที่ฮาลาล และการอนุมัติสิ่งที่ฮารอมเท่ากับการทำชิริก ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ.ล.) ได้กล่าวว่า

“ฉันถูกส่งมากับสิ่งที่ตรงและง่าย” (รายงานโดยอะหมัด)

และท่านศาสดาได้กล่าวไว้ในหะดิษกุดซีว่า อัลลอฮฺได้ทรงกล่าวไว้ มีความว่า “ฉันได้สร้างบ่าวของฉัน (มนุษย์) ในลักษณะที่ซื่อตรง แต่ต่อมาเหล่ามารซาตานได้มาหาพวกเขา แล้วนำ พวกเขาให้หลงทางไปจากศาสนาของพวกเขา และได้ห้ามพวกเขาในสิ่งที่ฉันอนุมัติแก่พวกเขา และบัญชาพวกเขา ให้ตั้งภาคีร่วมกับฉัน โดยฉันไม่ได้มอบอำนาจใดๆให้” (รายงานโดยมุสลิม)

อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ได้กล่าวไว้ ความว่า “โอ้บรรดาผู้ศรัทธาจงอย่าทำสิ่งดีทั้งหลายที่อัลลอฮฺได้ทรงอนุมัติ (ฮาลาล) ให้แก่สูเจ้าเป็นของต้องห้าม (ฮารอม) และจงอย่าละเมิด แท้จริงอัลลอฮฺมิทรงรักผู้ละเมิดและจงบริโภคจากสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงให้เครื่องยังชีพแก่สูเจ้าซึ่งสิ่งที่อนุมัติและที่ดี และจงสำรวมตนต่อ อัลลอฮฺ ในพระองค์ที่สูเจ้าเป็นผู้ศรัทธา” (กุรอาน 5:87-88)
9. สรรพสิ่งที่อัลลอฮฺ (ซ.บ.) สร้างขึ้นเพื่อประโยชน์ของมนุษย์ ดังนั้น จึงเป็นที่อนุมัติ (ฮาลาล) ยกเว้นสิ่งที่อัลลอฮฺและแบบอย่างคำสอนของศาสดามุฮัมมัด (ซ.ล.) ได้ห้ามไว้อย่างชัดเจน

อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ได้ทรงกล่าวไว้ มีความว่า “พระองค์ คือผู้ทรงบันดาลสำหรับสูเจ้าซึ่งสิ่งทั้งปวงในแผ่นดิน” (กุรอาน2:29)

“และพระองค์ได้ทรงทำให้ที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินเป็นประโยชน์แก่สูเจ้า” (กุรอาน 45:13)

“สูเจ้าไม่คิดดอกหรือว่า อัลลอฮฺได้ทรงทำให้อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินเป็นประโยชน์แก่สูเจ้า และ พระองค์ได้ทรงประทานความโปรดปรานของพระองค์โดยครบครันแก่สูเจ้าทั้งที่เปิดเผยและซ่อนเร้น” (กุรอาน31:20)

ศาสดามุฮัมมัด (ซ.ล.) ได้กล่าวไว้ มีความว่า “สิ่งที่อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ได้ทำให้เป็นที่ถูกต้องในคัมภีร์ของพระองค์ คือสิ่งที่ ฮาลาล และสิ่งที่พระองค์ได้สั่งห้าม คือ ฮารอม และเกี่ยวกับสิ่งที่พระองค์ทรงนิ่งเงียบนั้นเป็นที่ได้รับอนุญาตในฐานะความโปรดปรานของพระองค์ ดังนั้น จงรับความโปรดปรานของพระองค์ เพราะพระองค์นั้นไม่ทรงลืมสิ่งใด หลังจากนั้น ท่านศาสดาได้อ่านคัมภีร์ อัล-กุรอานที่มีความหมายว่า “พระผู้อภิบาลของสูเจ้ามิทรงลืม” (19:64)

“ฮาลาล คือสิ่งที่อัลลอฮ ฺ (ซ.บ.) ได้อนุมัติให้เป็นสิ่งที่ถูกต้องในคัมภีร์ของพระองค์ ฮารอม คือ สิ่งที่พระองค์ได้ทรงห้ามไว้ และที่เกี่ยวกับที่พระองค์ทรงนิ่งเงียบนั้นพระองค์ได้ทรงอนุมัติให้เป็นความโปรดปราน แก่ท่าน”(รายงานโดยติรมีซี และอิบนุนาญะฮ์)

10. สิ่งใดที่สงสัยให้หลีกเลี่ยง เป็นความเมตตาของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ต่อมนษย์ชาติที่พระองค์มิทรงทิ้งให้มนุษย์อยู่ในความโง่เขลาเกี่ยวกับเกี่ยวกับสิ่งที่ถูกอนุมัติ (ฮาลาล) และสิ่งที่ถูกห้าม (ฮารอม) เพราะพระองค์ได้ทรงทำให้มนุษย์ได้รู้อย่างชัดแจ้งว่า อะไรฮาลาล อะไร ฮารอม

ดังที่พระองค์ทรงกล่าวไว้ ความว่า “พระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ได้อธิบายให้แก่เจ้าถึงสิ่งที่พระองค์ได้ทรงทำให้เป็น ฮารอมสำหรับสูเจ้าไว้แล้ว” (กุรอาน 6:119)

ดังนั้น มนุษย์จึงต้องทำในสิ่งที่ได้รับการอนุมัติ (ฮาลาล) และต้องหลีกเลี่ยงสิ่งที่ต้องห้าม (ฮารอม) แต่อย่างไรก็ตามระหว่างสิ่งฮาลาลที่ชัดแจ้งกับสิ่งฮารอมที่ชัดเจนนั้นมีพื้นที่สีเทาอยู่ ซึ่งทำให้บางคนไม่สามารถ ตัดสินได้ว่าสิ่งใดที่ได้รับการอนุมัติหรือสิ่งใดที่ถูกห้าม เกี่ยวกับเรื่องนี้อิสลามถือว่า เป็นความดีอย่างหนึ่งสำหรับ มุสลิมที่จะต้องหลีกเลี่ยงสิ่งที่สงสัย เพื่อทำให้ตัวเองห่างพ้นจากการทำสิ่งที่ฮารอม

ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ.ล.) ได้กล่าวไว้ความว่า “ฮาลาลและฮารอมนั้นเป็นที่แจ้งชัด แต่ระหว่างทั้งสองสิ่งนี้ มีสิ่งที่น่าสงสัยเกี่ยวกับสิ่งที่คนไม่รู้ว่ามัน ฮาลาลหรือฮารอม ผู้ที่หลีกเลี่ยงมันเพื่อปกป้องศาสนาและเกียรติของเขา คือ ผู้ที่ปลอดภัย ในขณะที่ถ้าใครเข้า ไปมีส่วนกับมัน เขาผู้นั้นอาจจะทำสิ่งที่ฮารอม เช่น คนที่ปล่อยให้สัตว์ของตนกินหญ้าอยู่ใกล้กับ หิมา (ทุ่งหญ้า ที่สงวนไว้สำหรับสัตว์ของกษัตริย์ ซึ่งสัตว์ของคนอื่นเข้าไปไม่ได้) แล้วอาจมีสัตว์ของตนบางตัวหลงเข้าไปในนั้น แน่นอน กษัตริย์ทุกคนจะมีหิมาของตนเอง และมีหิมาของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) นั้นคือ สิ่งที่พระองค์ทรงห้ามไว้” (รายงานโดยบุคอรี มุสลิมและคนอื่นๆ)