


การห้ามกินเลือด
.
สิ่งแรกของอาหารต้องห้ามที่กุรอานกล่าวถึงเกี่ยวก็คือเนื้อของ “ซากสัตว์” นั่นคือสัตว์และ สัตว์ปีกที่ตายเองโดยไม่ได้ถูกฆ่าหรือถูกล่าโดยมนุษย์ เหตุผลที่ห้ามก็คือ - การกินเนื้อสัตว์ที่ตายเองเป็นสิ่งที่น่าขยะแขยงต่อความรู้สึกของคนทั่วไป - อัลเลาะห์มิทรงต้องการให้มนุษย์กินสิ่งที่เขามิดได้ตั้งใจหรือคิดที่จะกินดังในกรณีสัตว์ที่ตายเอง - ถ้าหากสัตว์ตายเอง มันก็อาจเป็นไปได้ว่ามันตายเพราะเหตุปัจจุบันทันด่วนหรือตายเพราะโรคระบาด ดังนั้นการกินเนื้อของมันจึงอาจเป็นอันตรายได้ - เป็นความเมตตาอย่างหนึ่งของอัลเลาะห์ที่จัดหาแหล่งอาหารไว้ให้แก่สัตว์และนกบาง ประเภทที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มคล้ายกับมนุษย์ ความจริงอันนี้จะเห็นได้จากการที่ซากสัตว์ต่าง ๆ ที่ตายอยู่กลางแจ้งจะถูกสัตว์และนกหลายชนิดเข้ามาจิกกิน
ต่อมาคือ
(สุรา เป็นสิ่งฮารอม)
3. สิ่งที่ฮาลาลนั้นเป็นที่เพียงพอสำหรับความจำเป็น แต่สิ่งที่ฮารอมนั้นเป็นที่เกินความต้องการ อิสลามจะห้ามแห่งเพียงสิ่งที่ไม่จำเป็น แต่ในขณะเดียวกันอิสลามได้จัดเตรียมทางเอกที่ดีกว่าและสะดวก ง่ายดายกว่าให้แก่มนุษย์ เพราะอัลลอฮฺมิได้ทรงปรารถนาที่จะสร้างความยุ่งยากลำบากให้แก่การดำรงชีวิตของมนุษย์ แต่พระองค์ทรงประสงค์ความง่าย ความดี ทางนำ และความเมตตาสำหรับมนุษย์ อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ได้ทรงกล่าวไว้ว่า
“อัลลอฮฺทรงปรารถนาที่จะให้กระจ่างแก่สูเจ้าและชี้แจงสูเจ้าซึ่งทางทั้งหลายของบรรดาก่อนหน้าสูเจ้า และ ทรงหันยังสูเจ้าโดยปราณี และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ ... อัลลอฮฺทรงปรารถนาที่จะผ่อนปรนสูเจ้า เพราะมนุษย์ถูกบังเกิดมาอ่อนแอ” (กุรอาน 4:26-28)
4. อะไรก็ตามที่นำไปสู่ฮารอม สิ่งนั้นก็ฮารอมด้วยตัวของมันเอง อิสลามถือว่า สิ่งใดเป็นที่ต้องห้าม (ฮารอม) แล้ว อะไรก็ตามที่จะนำไปสู่สิ่งนั้น ก็เป็นที่ต้องห้ามด้วยเช่นกัน ทั้งนี้เพราะอิสลามต้องการปิดหนทางทั้งหมดที่จะนำไปสู่สิ่งฮารอม เช่น การดื่มสิ่งมึนเมา ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ.ล.) ไม่เพียงแต่ประณามผู้ดื่มเท่านั้น แต่ยังได้ประณามผู้ผลิต ผู้ให้บริการและผู้เกี่ยวข้องด้วย หรือในกรณี ห้ามเรื่องดอกเบี้ย ท่านศาสดาไม่เพียงแต่ประณามผู้รับเท่านั้น แต่ยังได้ประณามผู้จ่าย ผู้เขียนสัญญา และผู้ เป็นพยานด้วย ดังนั้น อะไรก็ตามที่มีส่วนช่วยในการทำสิ่งฮารอม สิ่งนั้นก็ฮารอมด้วย และใครก็ตามที่ช่วยผู้อื่นในเรื่อง นี้ก็จะต้องมีส่วนรับบาปด้วย
5. ไม่อนุญาตให้เอาสิ่งฮารอมมาเป็นของฮาลาล การเรียกสิ่งที่ฮารอมว่าเป็นสิ่งฮาลาล โดยการเปลี่ยนแปลงรูปแบบในขณะที่เนื้อแท้ดั้งเดิมของมันยังคงอยู่นั้น เป็นวิธีการหลอกลวงที่สกปรกทั้งนี้เพราะการเปลี่ยนแปลงชื่อหรือรูปแบบนั้นไม่มีผลประการใด ตราบที่เนื้อแท้ ของมันยังไม่ เปลี่ยนแปลง “คนกลุ่มหนึ่งจะทำให้การดื่มสิ่งมึนเมาของประชาชนเป็นที่ฮาลาลโดยการให้ชื่อมันเป็นอย่างอื่น” (รายงาน โดยอะหมัด) และ “เวลาหนึ่งจะมาถึง เมื่อประชาชนกินดอกเบี้ยแล้วเรียกมันว่า “การค้า” (รายงานโดยบุคอรี และมุสลิม)
6. เจตนาดีมิได้ทำให้สิ่งฮารอมเป็นที่ยอมรับได้
อิสลามให้ความสำคัญในเรื่องความมีเกียรติของความรู้สึก เป้าหมายและความตั้งใจที่บริสุทธิ์ กิจวัตร ประจำวันและกิจการทางโลกจะต้องแปรสภาพเป็นการแสดงความเคารพภักดีและเสียสละเพื่ออัลลอฮฺด้วยเจนาที่ดี ดังนั้น ถ้าหากใครบริโภคอาหารโดยมีเจตนาเพื่อยังชีพและเพื่อสร้างความเข้มแข็งแก่ร่างกายเพื่อที่จะสามารถ ปฏิบัติหน้าที่ต่าง ๆ ที่มีต่อพระผู้สร้างของเขาและแก่มนุษย์แล้ว การกินการดื่มของเขาก็ถือว่าเป็นการแสดงความ เคารพภักดีและการเสียสละต่ออัลลอฮฺ ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ.ล.) ได้กล่าวไว้ มีความว่า
“การกระทำทั้งหลายจะถูกตัดสินโดยเจตนา และทุกคนจะได้รับผลตอบแทนตามเจตนาของเขา” (รายงาน โดยบุคอรี) และ “ใครก็ตามที่ปรารถนาในสิ่งที่อนุมัติจากโลกโดยการรักษาตัวเองให้ห่างพ้นจากบาป โดยการ ทำงานเพื่อครอบครัวและเอาใจใส่เพื่อนบ้านของเขา เขาก็จะได้พบกับพระผู้เป็นเจ้าของเขาด้วยใบหน้าที่นวลสว่าง เหมือนจันทร์เต็มดวง” (รายงานโดยเฎาะบะรอนี)
แต่ถ้าหากใครสะสมในสิ่งที่ได้มาด้วยความไม่ถูกต้อง(ฮารอม) แม้ว่าเขามีเจตนาดีในการบริจาคหรือทำดี ก็จะไม่มีผลใดๆในความดี ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ.ล.) ได้กล่าวว่า อัลลอฮฺนั้นดี และไม่ยอมรับสิ่งใดนอกจากความดี และอัลลอฮฺได้ทรงบัญชาบรรดาผู้ศรัทธาเช่นเดียวกับที่ทรงบัญชารอซูลทั้งหลายของพระองค์ว่า
“โอ้บรรดารอซูล จงกินสิ่งที่ดีและทำให้สิ่งที่ถูกต้อง ฉันรู้ในสิ่งที่เจ้าทำ”
นอกจากนี้ ท่านศาสดาฯยังได้กล่าวว่า “ชายคนหนึ่งเดินทางไกล สกปรกและเปรอะเปื้อนด้วยฝุ่น (เพื่อทำฮัจญ์หรืออุมเราะฮ์ หรือ สิ่งอื่นทำนองนี้) ยกมือขึ้นสู่ท้องฟ้า (และกล่าวว่า) “โอ้พระผู้อภิบาล” ขณะที่กินสิ่งฮารอม ดื่มสิ่งที่ฮารอม สวมใส่สิ่งที่ฮารอม และเลี้ยงตัวเองด้วยวิธีการ ฮารอมแล้วอย่างนี้ คำวิงวอนของเขาจะถูกรับได้อย่างไร” (รายงานโดยมุสลิม และติรมิซี จากอบูฮุรอยเราะฮ์)
“ถ้าหากใครสะสมทรัพย์สินด้วยวิธีการฮารอมแล้วทำทานจากสิ่งที่เขาสะสมความดีจะไม่มีสำหรับเขาและภาระแห่งบาปจะยังดำรงอยู่” (รายงานโดยคุซัยบะฮฺอิบนิฮิบมานและฮากิม)
“ถ้าหากใครคนหนึ่งแสวงหาทรัพย์สินโดยวิธีการฮารอมและให้ทาน อัลลอฮฺจะไม่ยอมรับถ้าหากว่าเขาใช้ จ่ายออกไป มันก็จะไม่มีความเจริญและถ้าหากเขาทิ้งมันไว้ (หลังจากที่เขาตาย) มันก็จะเป็นฟืนของเขาในไฟนรก ความจริงแล้ว อัลลอฮฺจะไม่ลบล้างการกระทำที่เลวด้วยการกระทำที่เลวอีกอย่างหนึ่งและพระองค์จะทรงลบล้าง การกระทำที่เลวโดยการทำดี สิ่งที่ไม่สะอาดนั้นไม่สามารถชำระล้างสิ่งที่ไม่สะอาดอีกสิ่งหนึ่งได้” (รายงานโดย อะหมัดและคนอื่นๆจากอิบนุมัสอู๊ด)
7. สิ่งที่ฮารอมเป็นที่ต้องห้ามสำหรับทุกคน ตามกฎหมายอิสลาม (ชะรีอะห์) กฎที่เกี่ยวกับสิ่งฮารอมจะถูกนำไปใช้อย่างสากล สิ่งใดที่อัลลอฮฺอนุมัติ (ฮาลาล) ก็คือสิ่งที่ได้รับอนุมัติสำหรับมนุษยชาติ และสิ่งใดที่อัลลอฮฺทรงห้าม (ฮารอม) ก็เป็นที่ต้องห้ามสำหรับ มนุษย์ทุกคน เพราะอัลลอฮฺเป็นพระเจ้าของมนุษย์ทุกคน ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ.ล.) ได้ยืนยันถึงการใช้กฎต่างๆ นี้อย่างหนักแน่นด้วยการประกาศความว่า “ฉันขอสาบานด้วยนามของอัลลอฮฺ ถ้าหากฟาติมะฮฺลูกสาวของมุฮัมมัดลักขโมย ฉันจะตัดมือเขาเอง” (รายงานโดยบุคอรี)
8. การห้ามสิ่งที่ฮาลาล และการอนุมัติสิ่งที่ฮารอมเท่ากับการทำชิริก ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ.ล.) ได้กล่าวว่า
“ฉันถูกส่งมากับสิ่งที่ตรงและง่าย” (รายงานโดยอะหมัด)
และท่านศาสดาได้กล่าวไว้ในหะดิษกุดซีว่า อัลลอฮฺได้ทรงกล่าวไว้ มีความว่า “ฉันได้สร้างบ่าวของฉัน (มนุษย์) ในลักษณะที่ซื่อตรง แต่ต่อมาเหล่ามารซาตานได้มาหาพวกเขา แล้วนำ พวกเขาให้หลงทางไปจากศาสนาของพวกเขา และได้ห้ามพวกเขาในสิ่งที่ฉันอนุมัติแก่พวกเขา และบัญชาพวกเขา ให้ตั้งภาคีร่วมกับฉัน โดยฉันไม่ได้มอบอำนาจใดๆให้” (รายงานโดยมุสลิม)
อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ได้กล่าวไว้ ความว่า “โอ้บรรดาผู้ศรัทธาจงอย่าทำสิ่งดีทั้งหลายที่อัลลอฮฺได้ทรงอนุมัติ (ฮาลาล) ให้แก่สูเจ้าเป็นของต้องห้าม (ฮารอม) และจงอย่าละเมิด แท้จริงอัลลอฮฺมิทรงรักผู้ละเมิดและจงบริโภคจากสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงให้เครื่องยังชีพแก่สูเจ้าซึ่งสิ่งที่อนุมัติและที่ดี และจงสำรวมตนต่อ อัลลอฮฺ ในพระองค์ที่สูเจ้าเป็นผู้ศรัทธา” (กุรอาน 5:87-88)
9. สรรพสิ่งที่อัลลอฮฺ (ซ.บ.) สร้างขึ้นเพื่อประโยชน์ของมนุษย์ ดังนั้น จึงเป็นที่อนุมัติ (ฮาลาล) ยกเว้นสิ่งที่อัลลอฮฺและแบบอย่างคำสอนของศาสดามุฮัมมัด (ซ.ล.) ได้ห้ามไว้อย่างชัดเจน
อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ได้ทรงกล่าวไว้ มีความว่า “พระองค์ คือผู้ทรงบันดาลสำหรับสูเจ้าซึ่งสิ่งทั้งปวงในแผ่นดิน” (กุรอาน2:29)
“และพระองค์ได้ทรงทำให้ที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินเป็นประโยชน์แก่สูเจ้า” (กุรอาน 45:13)
“สูเจ้าไม่คิดดอกหรือว่า อัลลอฮฺได้ทรงทำให้อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินเป็นประโยชน์แก่สูเจ้า และ พระองค์ได้ทรงประทานความโปรดปรานของพระองค์โดยครบครันแก่สูเจ้าทั้งที่เปิดเผยและซ่อนเร้น” (กุรอาน31:20)
ศาสดามุฮัมมัด (ซ.ล.) ได้กล่าวไว้ มีความว่า “สิ่งที่อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ได้ทำให้เป็นที่ถูกต้องในคัมภีร์ของพระองค์ คือสิ่งที่ ฮาลาล และสิ่งที่พระองค์ได้สั่งห้าม คือ ฮารอม และเกี่ยวกับสิ่งที่พระองค์ทรงนิ่งเงียบนั้นเป็นที่ได้รับอนุญาตในฐานะความโปรดปรานของพระองค์ ดังนั้น จงรับความโปรดปรานของพระองค์ เพราะพระองค์นั้นไม่ทรงลืมสิ่งใด หลังจากนั้น ท่านศาสดาได้อ่านคัมภีร์ อัล-กุรอานที่มีความหมายว่า “พระผู้อภิบาลของสูเจ้ามิทรงลืม” (19:64)
“ฮาลาล คือสิ่งที่อัลลอฮ ฺ (ซ.บ.) ได้อนุมัติให้เป็นสิ่งที่ถูกต้องในคัมภีร์ของพระองค์ ฮารอม คือ สิ่งที่พระองค์ได้ทรงห้ามไว้ และที่เกี่ยวกับที่พระองค์ทรงนิ่งเงียบนั้นพระองค์ได้ทรงอนุมัติให้เป็นความโปรดปราน แก่ท่าน”(รายงานโดยติรมีซี และอิบนุนาญะฮ์)
10. สิ่งใดที่สงสัยให้หลีกเลี่ยง เป็นความเมตตาของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ต่อมนษย์ชาติที่พระองค์มิทรงทิ้งให้มนุษย์อยู่ในความโง่เขลาเกี่ยวกับเกี่ยวกับสิ่งที่ถูกอนุมัติ (ฮาลาล) และสิ่งที่ถูกห้าม (ฮารอม) เพราะพระองค์ได้ทรงทำให้มนุษย์ได้รู้อย่างชัดแจ้งว่า อะไรฮาลาล อะไร ฮารอม
ดังที่พระองค์ทรงกล่าวไว้ ความว่า “พระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ได้อธิบายให้แก่เจ้าถึงสิ่งที่พระองค์ได้ทรงทำให้เป็น ฮารอมสำหรับสูเจ้าไว้แล้ว” (กุรอาน 6:119)
ดังนั้น มนุษย์จึงต้องทำในสิ่งที่ได้รับการอนุมัติ (ฮาลาล) และต้องหลีกเลี่ยงสิ่งที่ต้องห้าม (ฮารอม) แต่อย่างไรก็ตามระหว่างสิ่งฮาลาลที่ชัดแจ้งกับสิ่งฮารอมที่ชัดเจนนั้นมีพื้นที่สีเทาอยู่ ซึ่งทำให้บางคนไม่สามารถ ตัดสินได้ว่าสิ่งใดที่ได้รับการอนุมัติหรือสิ่งใดที่ถูกห้าม เกี่ยวกับเรื่องนี้อิสลามถือว่า เป็นความดีอย่างหนึ่งสำหรับ มุสลิมที่จะต้องหลีกเลี่ยงสิ่งที่สงสัย เพื่อทำให้ตัวเองห่างพ้นจากการทำสิ่งที่ฮารอม
ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ.ล.) ได้กล่าวไว้ความว่า “ฮาลาลและฮารอมนั้นเป็นที่แจ้งชัด แต่ระหว่างทั้งสองสิ่งนี้ มีสิ่งที่น่าสงสัยเกี่ยวกับสิ่งที่คนไม่รู้ว่ามัน ฮาลาลหรือฮารอม ผู้ที่หลีกเลี่ยงมันเพื่อปกป้องศาสนาและเกียรติของเขา คือ ผู้ที่ปลอดภัย ในขณะที่ถ้าใครเข้า ไปมีส่วนกับมัน เขาผู้นั้นอาจจะทำสิ่งที่ฮารอม เช่น คนที่ปล่อยให้สัตว์ของตนกินหญ้าอยู่ใกล้กับ หิมา (ทุ่งหญ้า ที่สงวนไว้สำหรับสัตว์ของกษัตริย์ ซึ่งสัตว์ของคนอื่นเข้าไปไม่ได้) แล้วอาจมีสัตว์ของตนบางตัวหลงเข้าไปในนั้น แน่นอน กษัตริย์ทุกคนจะมีหิมาของตนเอง และมีหิมาของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) นั้นคือ สิ่งที่พระองค์ทรงห้ามไว้” (รายงานโดยบุคอรี มุสลิมและคนอื่นๆ)
ความรู้เเน่นอยู่เเล้น
ตอบลบ